ปัญหาของเกษตรกรที่เห็นชัดที่สุดคือ ความยากจน นอกจากเรื่องทุนภายในครอบครัว ปัญหาที่เกษตรกรต้องประสบก็มีอีกมากมายไม่ต่างกับการประกอบอาชีพอื่น ๆ แหละครับ เช่น การเข้าถึงแหล่งทุน ขาดความรู้ในด้านการเกษตร ขาดความเข้าใจในเรื่องปรับปรุงบำรุงดิน ไม่สามารถทำให้ผลิตผลทางการเกษตรตอบสนองความต้องการของตลาดและผู้บริโภค ความเสี่ยงที่มาจากภัยธรรมชาติหรือฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลง
ที่สำคัญคือ
ภาคการเกษตรของไทยตกอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
เนื่องจากเมื่อพิจารณาถึงข้อมูลพื้นที่การเกษตรและจำนวนเกษตรกร
จะพบว่าจำนวนเกษตรกรรายย่อยลดลง คนจนจากภาคเกษตรกรรมจะล้มละลาย
และหันเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมและบริการ รวมทั้งเป็นแรงงานในภาคเกษตร
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการพัฒนาประเทศ และการถดถอยของวิถีเกษตรกรรม
เมื่อพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเนื้อที่ถือครองการเกษตรก็พบว่ามีแนวโน้มการลดพื้นที่ทำนาลง
ในทางกลับกันพื้นที่สำหรับการปลูกไม้ผลและไม้ยืนต้น
ซึ่งรวมถึงยางพาราและปาล์มน้ำมัน มีสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้น
หากแนวโน้มการพัฒนาการเกษตรเป็นไปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
และไม่มีการแก้ไขปัญหาเกษตรกรอย่างจริงจัง เชื่อว่าอีกไม่เกิน 30 ปี
จำนวนเกษตรกรไทยจะเหลือน้อยลง เพราะเกษตรกรอิสระรายเล็กรายน้อยจะค่อยๆ
เลิกไปหรือเปลี่ยนไปเป็นแรงงานรับจ้างในโรงงาน
หรือเป็นแรงงานเกษตรรับจ้างในที่ดินที่เคยเป็นของตนเอง
ที่ยังเหลืออยู่บ้างคงเป็นกลุ่มเกษตรกรพันธสัญญา
อาจกล่าวได้ว่า ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์
ภาคเกษตรกรรมไทยกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในขณะที่เกษตรกรไทยยังคงเผชิญปัญหาความยากจนอันเกิดจากความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ
สังคมและการเมือง
ปรากฏการณ์ของปัญหาที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรไทยในปัจจุบันนอกจากที่กล่าวข้างต้นมาแล้วยังมีอีกหลายประการ กล่าวคือ
1.
ปัญหาด้านปัจจัยและฐานทรัพยากรการผลิต ทั้งเรื่องที่ดินทำกิน
เกษตรกรจำนวนมากไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง ต้องเช่าที่ดินทำกิน
และเกษตรกรที่ยังมีที่ดินจำนวนมากแต่ละปีต้องสูญเสียที่ดินทำกินให้กับสถาบันการเงิน
ปัญหาการเข้าไม่ถึงทรัพยากรการผลิต โดยเฉพาะน้ำ ทะเล ป่า
และทรัพยากรพันธุกรรมทั้งหลาย ซึ่งเป็นฐานชีวิตของเกษตรกรและชาวประมงขนาดเล็ก
รวมทั้งสิทธิเกษตรกรในด้านการเข้าถึงพันธุกรรมพืชและสัตว์ ยังไม่ได้รับการยอมรับ
ทำให้เกษตรกรรายย่อยขาดศักยภาพในการเพิ่มผลผลิต และพึ่งพิงตนเองไม่ได้
ปัญหาต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
อันเนื่องจากปัจจัยการผลิตมีฐานจากการใช้พลังงาน ต้นทุนปุ๋ย ยา แรงงานสูงขึ้น
ฐานทรัพยากรอาหารลดลง และแม้ว่าปัจจุบันมีแนวโน้มว่าผลผลิตทางการเกษตรจะมีราคาดี
แต่ราคาที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ไม่แน่ว่าจะส่งผลประโยชน์กลับมาที่เกษตรกร
รวมทั้งราคาอาหารที่แพงขึ้นก็กลายเป็นค่าใช้จ่ายของเกษตรกรที่สูงขึ้น
และส่งผลลบต่อคนจนเมืองเช่นกัน
2.
ปัญหาเรื่องสุขภาวะ ทุกฤดูการผลิตไม่ว่าจะเป็นข้าว พืชไร่ พืชสวน
หากได้ออกไปในไร่นาก็จะได้กลิ่นสารเคมีกำจัดหญ้ากำจัดแมลงทั่วทุกหนแห่ง
เกิดผลกระทบทั้งเกษตรกรเองและผู้บริโภค
เกษตรกรเองหนักกว่าเพื่อนเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงในฐานะเป็นผู้ใช้ยาและเป็นผู้บริโภคผลผลิตด้วย
3.
ปัญหาเรื่องตลาด
ตลาดเป็นของพ่อค้าแต่การลงทุนและความเสี่ยงเป็นของเกษตรกร
เกษตรกรจึงไม่มีส่วนในการตัดสินใจกำหนดราคาตลาด ราคาผลผลิตการเกษตรจึงไม่เป็นธรรม
ไม่แน่นอน ขึ้นๆ ลงๆ
ตามอำนาจซื้อของพ่อค้าขณะที่ราคาปัจจัยการผลิตเพิ่มสูงขึ้นโดยที่ไม่เคยลดลง
4.
ปัญหาที่มาจากนโยบายพลังงาน และปัญหาอันเกิดจากการขาดแคลนน้ำมัน
ทำให้เกิดผลกระทบต่อการผลิตในภาคเกษตรกรรม
เนื่องจากการขยายพื้นที่ปลูกพืชน้ำมันทั้งหลาย และส่งผลกระทบในหลายมิติ เช่น
• พื้นที่เกษตร
เปลี่ยนเป็นพื้นที่พืชพลังงานและเป็นเชิงเดี่ยวมากขึ้น
ปัญหาการใช้ที่ดินที่ถูกเปลี่ยนแปลง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงระบบเกษตร เช่น
การปลูกมันหลังนา การปลูกยูคาบนคันนา ฯลฯ
ซึ่งความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดจากโครงสร้างการผลิตเปลี่ยนแปลง
ตามโครงสร้างพลังงาน และนโยบายพลังงานจนส่งผลต่อภาคเกษตรกรรม
• ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ
ฐานอาหาร และสิ่งแวดล้อม อันเนื่องจากการขยายตัวของการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมากขึ้น
การใช้สารเคมีอย่างเข้มข้น และการบุกรุกพื้นที่ป่า รวมทั้งการทิ้งของเสียจากโรงงานเอทานอล ฯลฯ
ปัญหาที่ดินของเกษตรกรรายย่อย ปัญหาของชุมชนเกษตรกรรายย่อยกับฐานการผลิต
ฐานทรัพยากรธรรมชาติ
• ปัญหาพันธุกรรมพืช
เช่น การที่พืชจีเอ็มโอจะเข้ามาทางพืชน้ำมัน
• ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร
จากการเปลี่ยนแปลงวิถีเกษตรกรรม จำนวนเกษตรกรรายย่อยลดลง เทคโนโลยีเข้ามาแทนที่
เกษตรกรจำนวนมากไม่ได้ทำเกษตรเกษตรกร ไม่ได้มีชีวิตอยู่บนฐานเศรษฐกิจของการเกษตร ปัญหาความมั่นคงทางอาหารมิได้มีปัญหาเฉพาะต่อชุมชนเกษตรกร แต่จะส่งผลกระทบต่อประชากรทั้งประเทศ