มาเป็นเกษตรกรปลอดสารเคมีกันดีกว่า

  ทำไมถึงต้องทำเกษตรปลอดสารเคมี  เพราะจะทำให้ดินที่ปลูกพืชได้ฟื้นฟูไม่เสื่อมคุณภาพลงเรื่อยๆถ้าดินเสื่อมจุลินทรีย์หมดไปแล้วพืชที่ปลูกก็ออกดอกออกผลไม่ดีดังที่หวัง แล้วจะมาใช้เวลา 5-10ปีในการฟื้นสภาพดินแบบนั้นหรือ ถ้าทำปลอดสารเคมีแล้วมาพึ่งอินทรีย์จะช่วยให้ต้นทุนลดลง กำไรเพิ่มขึ้น ที่สำคัญสารเคมีทำให้สุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภคทรุดโทรมและมีโรคภัยต่างๆจากสารพิษตกค้าง 

     การใช้ทรัพยากรดินโดยไม่คำนึงถึงผลเสีย อย่างการใส่ปุ๋ยเคมีสังเคราะห์ลงดิน ก่อให้เกิดความไม่สมดุลในแร่ธาตุ ทำให้สิ่งมีชีวิตที่มีประโยชน์ในดินสูญหายตายจาก ดินที่ถูกผลาญไปนั้นสูญเสียความสามารถการดูดซับแร่ธาตุ พืชอ่อนแอ ขาดภูมิต้านทานโรค ข้อบกพร่องเหล่านี้จะก่อให้เกิดวิกฤติในห่วงโซ่อาหาร รู้หรือไม่ว่าปัจจุบันประเทศไทยนำเข้าสารเคมีสังเคราะห์ทางการเกษตรเป็นเงินปีละประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาทหรืออาจมากกว่า เกษตรกรต้องซื้อปัจจัยการผลิตที่เป็นสารเคมีสังเคราะห์ในการเพาะปลูก ทำให้การลงทุนสูงและเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

    ถึงแม้การใช้สารเคมีจะได้ผลผลิตที่มากกว่า เห็นผลเร็วกว่า ลดความเสี่ยงจากโรคระบาดและแมลงด้วยสารเคมีที่อัดลงไปในการทำเกษตร แต่เมื่อมาคิดต้นทุนในการซื้อสารเคมีเหล่านั้นเทียบกับรายรับจากราคาผลิตผลที่ขายได้ ผมเชื่อว่าเหลือกำไรไม่มากหรืออาจไม่เหลือเลย ที่แย่ไปกว่านั้นท่านรู้หรือไม่ครับว่าเกษตรเคมีต้องแลกมาด้วยสุขภาพที่ทรุดโทรมและโรคร้ายของตัวเกษตรกรเอง ผมว่าไม่คุ้มค่ากันเลย

   ฉะนั้นผมคิดว่าเรามาทำเกษตรปลอดสารเคมีกันเถอะ ทางเลือกมันมีนั่นคือ "เกษตรอินทรีย์"  เป็นการทำการเกษตรด้วยหลักธรรมชาติ บนพื้นที่การเกษตรที่ไม่มีสารพิษตกค้างและหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของสารเคมี ทางดิน ทางน้ำ ทางอากาศ โดยไม่ใช้เคมีสังเคราะห์หรือสิ่งที่ได้มาจากการตัดต่อพันธุกรรม การทำเกษตรอินทรีย์ช่วยให้พื้นดินอุดมสมบูรณ์ ที่สำคัญช่วยลดต้นทุนได้มาก ท่านอาจมองว่าการทำเกษตรอินทรีย์เห็นผลช้า ไม่ทันกินไม่ทันใช้ แต่รับรองว่าระยะยาวคุ้มยิ่งกว่าคุ้มครับ

 ** ทุกวันนี้มีการพัฒนาวิธีการทางชีวภาพสามารถผลิตปัจจัยการผลิตอินทรีย์ ที่ทำให้พืชมีพัฒนาการที่ไวและสามารถให้ผลผลิตจำนวนมากและมีคุณภาพ โดยใช้ระยะเวลาสั้นเพิ่มขึ้นมากมาย 



ไม่มีความคิดเห็น: